การจดทะเบียนบริษัท
การจดทะเบียนบริษัทแบ่งออกได้ 2 ประเภท ซึ่งอ้างอิงตามเจ้าของบริษัทที่จะดำเนินการจัดตั้งบริษัทร่วมกัน ได้แก่ แบบทะเบียนพาณิชย์หรือบุคคลธรรมดากับแบบทะเบียนนิติบุคคล
โดยปกติแล้วการจดทะเบียนแบบห้างหุ้นส่วนสามารถทำได้ และตอนนี้การจดทะเบียนแบบบริษัทจำกัดก็สามารถทำได้เช่นกันด้วย เนื่องจากมีกฎหมายข้อยกเว้นออกมาตั้งแต่วันที่ 7 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2566 เป็นต้นไป ว่าสามารถจดทะเบียนบริษัทโดยมีผู้เริ่มก่อตั้งตั้งแต่ 2 คนขึ้นไปได้ จากข้อมูลของกรมพัฒนาธุรกิจการค้า
ประเภททะเบียนพาณิชย์ (บุคคลธรรมดา)
การจดทะเบียนบริษัทแบบทะเบียนพาณิชย์หรือบุคคลธรรมดา คือ การเปิดบริษัทคนเดียว มีเจ้าของกิจการเพียงคนเดียวนั่นเอง การจดทะเบียนแบบนี้เหมาะกับธุรกิจขนาดเล็กที่มีมูลค่าไม่สูงมาก เจ้าของกิจการทำงานเพียงคนเดียวได้ ไม่มีพนักงาน
ข้อดีคือสามารถทำธุรกิจได้อิสระมากกว่าแบบนิติบุคคล ได้กำไรเต็มที่ ไม่ต้องทำบัญชียื่นส่งงบ
แต่ก็มีข้อเสียเช่นกันคือธุรกิจอาจดูไม่น่าเชื่อถือในระยะยาว เข้าถึงสินเชื่อการเงินได้ยาก เสียภาษีเงินได้มากกว่าการจดทะเบียนนิติบุคคล และเจ้าของกิจการจะต้องรับผิดชอบภาระหนี้สินจากกิจการเองทั้งหมดด้วย
การจดทะเบียนพาณิชย์ (บุคคลธรรมดา) เหมาะกับใคร?
ประเภททะเบียนพาณิชย์ (บุคคลธรรมดา)
การจดทะเบียนบริษัทแบบทะเบียนนิติบุคคล คือ การเปิดบริษัทที่มีเจ้าของกิจการตั้งแต่ 2 คนขึ้นไป การดำเนินธุรกิจทุกอย่างจะต้องผ่านความเห็นชอบจากเจ้าของกิจการทุกคนแต่ออกมาในนามของบริษัท การจดทะเบียนบริษัทประเภทนี้ทำให้บริษัทมีตัวตนทางกฎหมายชัดเจน การดำเนินการใดๆ จะออกมาในนามของบริษัท เหมาะกับธุรกิจที่เติบโตในระดับหนึ่ง ธุรกิจ SME ธุรกิจขนาดกลาง ไปจนถึงธุรกิจขนาดใหญ่
ข้อดีคือ ภาระหนี้สินของบริษัทจะแยกจากชื่อของเจ้าของกิจการอย่างชัดเจน ภาษีเงินได้ที่ต้องเสียสูงสุดหลังหักค่าใช้จ่ายอยู่ที่ 20% เท่านั้น ซึ่งน้อยกว่าการจดทะเบียนพาณิชย์
ส่วนข้อเสียก็มีเช่นกัน คือ บริษัทจะต้องดำเนินภาระหน้าที่ชัดเจนตามกฎหมาย เช่น บัญชี งบการเงิน งบรายได้ การเสียภาษีต่างๆ ประกันสังคมของพนักงาน ซึ่งการจดทะเบียนนิติบุคคลสามารถแบ่งได้เป็น 3 แบบด้วยกัน มีความแตกต่างกันที่การรับผิดชอบหนี้สินของบริษัท แล้วแบบไหนเหมาะกับธุรกิจของคุณที่สุด K Biz สรุปมาให้แล้ว มาอ่านไปพร้อมกันเลย
การจดทะเบียนนิติบุคคลสามารถแบ่งได้เป็น 3 แบบ
การดำเนินกิจการแบบห้างหุ้นส่วนจำกัดสามัญนิติบุคคล หมายถึง เจ้าของกิจการทุกคนมีสิทธิ์จัดการกิจการและแบ่งปันผลกำไรจากกิจการทุกคน เหมาะกับกิจการที่มีเจ้าของหรือหุ้นส่วนตั้งแต่ 2 คนขึ้นไป
ข้อดีคือ หุ้นส่วนหรือเจ้าของกิจการทุกคนมีสิทธิ์เท่ากันในการดำเนินกิจการ
แต่ข้อเสียคือหุ้นส่วนทุกคนจะต้องรับผิดชอบภาระหนี้สินที่เกิดจากกิจการร่วมกันแบบ “ไม่จำกัด” จำนวน หรืออธิบายได้ว่าไม่ว่าวางเงินลงทุนเท่าไหร่ หากภาระหนี้สินจากกิจการเกินจากจำนวนเงินที่ได้ลงทุนไป เจ้าของกิจการทุกคนก็จะต้องรับผิดชอบตามจำนวนนั้น
กิจการห้างหุ้นส่วนจำกัด เหมาะกับกิจการที่มีเจ้าของหรือหุ้นส่วนตั้งแต่ 2 คนขึ้นไป การดำเนินกิจการประเภทนี้จะต้องจดทะเบียนบริษัทนิติบุคคล แต่ไม่กำหนดทุนจดทะเบียนขั้นต่ำ ซึ่งจะแบ่งผู้ถือหุ้นได้เป็น 2 แบบคือ แบบจำกัดและแบบไม่จำกัด
หุ้นส่วนแบบจำกัด จะมีสิทธิ์สอบถามการดำเนินธุรกิจ ออกความเห็น รวมถึงเป็นที่ปรึกษาของกิจการได้ ข้อดีคือ หุ้นส่วนมีหน้าที่ต้องรับผิดชอบหนี้สินจากกิจการแบบจำกัดไม่เกินจำนวนเงินลงทุนของตนเอง ข้อเสียคือไม่สามารถตัดสินใจใดๆ ของการดำเนินกิจการได้และไม่สามารถใช้แรงทำงานเองได้
หุ้นส่วนแบบไม่จำกัด คือ หุ้นส่วนที่สามารถดำเนินกิจการและตัดสินใจทุกอย่างในกิจการได้เต็มที่ ซึ่งกฎหมายกำหนดไว้ว่าห้างหุ้นส่วนจำกัดจะต้องมีหุ้นส่วนแบบไม่จำกัดอย่างน้อย 1 คน ข้อดีของหุ้นส่วนประเภทนี้คือ สามารถตัดสินใจในการดำเนินของธุรกิจได้ทันที มีสิทธิ์สูงสุด แต่ข้อเสียคือจะต้องรับผิดชอบหนี้สินที่เกิดจากกิจการแบบ “ไม่จำกัด” อธิบายได้ว่าจะต้องรับผิดชอบหนี้สินแบบไม่จำกัดจำนวน ซึ่งอาจมากกว่าเงินลงทุนของตนเอง หุ้นส่วนแบบไม่จำกัดก็ต้องชำระทั้งหมด
กิจการที่จดทะเบียนบริษัทจำกัด มีลักษณะการทำกิจการร่วมกัน เพื่อหากำไรร่วมกัน จะต้องจดทะเบียนนิติบุคคล เดิมต้องมีเจ้าของกิจการตั้งแต่ 3 คนขึ้นไป แต่ในปัจจุบันมีข้อยกเว้นตั้งแต่วันที่ 7 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2566 เป็นต้นไปไว้ว่า การจดทะเบียนบริษัทสามารถทำได้โดยมีผู้เริ่มก่อตั้ง ตั้งแต่ 2 คนขึ้นไป การจดทะเบียนบริษัทจำกัดเหมาะกับกิจการที่มีการเติบโตระดับหนึ่ง มีมูลค่าบริษัทสูง
เมื่อจดเป็นบริษัทจำกัดแล้วมีข้อดีคือ กิจการมีความน่าเชื่อถือในระยะยาวมากกว่า การบริหารเป็นระบบมากกว่า มีโอกาสขอสินเชื่อการเงินได้ง่ายกว่า ที่สำคัญการจำกัดความรับผิดชอบในหนี้สินที่เกิดจากกิจการที่หุ้นส่วนจะต้องชำระนั้น จำนวนเท่ากับเงินทุนค่าหุ้นที่จดทะเบียนไว้เท่านั้น
แต่ก็มีข้อเสียเช่นกัน ถึงแม้จะจ่ายภาษีถูกกว่าแต่ต้องมีการจ่ายภาษีถึง 2 ครั้งต่อปี การจัดตั้งยุ่งยาก มีข้อบังคับตามกฎหมายมากมาย รวมถึงการเลิกกิจการนั้นทำได้ยากกว่าการจดทะเบียนแบบอื่นๆ จึงเหมาะกับธุรกิจที่ค่อนข้างมีความมั่นคงและเติบโตมากกว่าธุรกิจขนาดเล็กที่เพิ่งเริ่มก่อตั้ง
9 ขั้นตอนการจดทะเบียนบริษัท
การจดทะเบียนบริษัทเป็นสิ่งสำคัญที่ควรทำ หากกิจการของคุณเริ่มเติบโต โดยเฉพาะเมื่อกิจการมีรายได้มากขึ้น มากกว่า 750,000 บาทขึ้นไป เพราะหากคุณเป็นบุคคลธรรมดาที่มีรายได้เท่านี้จะต้องเสียภาษีถึง 35% แต่หากจดทะเบียนจัดตั้งบริษัท ภาษีเงินได้สูงสุดที่ต้องเสียจะอยู่ที่ 20% เท่านั้น จะเห็นว่าการจดทะเบียนบริษัทนั้นช่วยประหยัดภาษีและยังสร้างความน่าเชื่อถือให้กิจการอีกด้วย ซึ่งหลายคนอาจจะอยากทราบแล้วว่าขั้นตอนการจดทะเบียนบริษัทนั้นยุ่งยากไหม มีขั้นตอนอะไรบ้าง ใช้เวลานานหรือไม่ ตอบได้เลยว่าไม่ได้ยุ่งยากแบบที่ทุกคนคิด เพียงแต่ต้องศึกษาและเตรียมเอกสารต่างๆ ให้พร้อม และทำตามขั้นตอนการจดทะเบียนบริษัทต่อไปนี้
1. ศึกษาข้อมูลการจดทะเบียนบริษัท
ก่อนตัดสินใจจดทะเบียนบริษัทต้องศึกษาข้อมูลที่ต้องรู้ให้เข้าใจเสียก่อน ว่าการจดทะเบียนมีกี่ประเภท และกิจการของคุณเหมาะกับการจดทะเบียนบริษัทแบบไหนมากกว่ากัน เพื่อเตรียมความพร้อมทั้งในเรื่องของเอกสาร ชื่อบริษัท รวมถึงเงื่อนไขทางกฎหมายต่างๆ ซึ่งการจดบริษัทสามารถทำได้ 1 วันก็เป็นอันเสร็จสิ้น
2. จัดเตรียมเอกสารสำหรับการจดทะเบียนบริษัท
สิ่งสำคัญของขั้นตอนการจดทะเบียนบริษัทคือการเตรียมเอกสารต่างๆ ที่ใช้สำหรับยื่นจดทะเบียน โดยเอกสารอื่นๆ ที่เกี่ยวกับบริษัทให้ใช้ลายเซ็นรับรองสำเนาถูกต้องจากผู้ถือหุ้นคนใดก็ได้ 1 คน ส่วนเอกสารบัตรประจำตัวของผู้ถือหุ้นแต่ละคน ให้ลงชื่อด้วยตนเองได้เลย เอกสารที่ต้องเตรียมให้พร้อมก่อนไปจดทะเบียนบริษัทแบบวันเดียว ที่กรมพัฒนาธุรกิจการค้า มีทั้งหมดดังนี้
กรณีบริษัทมีผู้ถือหุ้นเป็นคนต่างด้าวที่ถือหุ้นไม่เกิน 50% หรือคนต่างด้าวไม่ได้เป็นผู้ถือหุ้นแต่เป็นกรรมการร่วมลงนามผูกพันกับบริษัท ต้องมีเอกสารหลักฐานแสดงฐานะการเงินของผู้ถือหุ้นคนไทยทุกคน โดยต้องเป็นเอกสารที่ทางธนาคารออกให้ นำมาประกอบคำขอจดทะเบียน โดยเอกสารจะต้องแสดงจำนวนเงินที่สอดคล้องกับเงินที่ผู้ถือหุ้นแต่ละคนนำมาลงทุน ซึ่งเป็นคำสั่งของสำนักงานทะเบียนหุ้นส่วนบริษัทกลาง
3. ตั้งชื่อบริษัทสำหรับการจดทะเบียนและวิธีการจองชื่อบริษัท
สำหรับการตั้งชื่อบริษัทที่ถูกต้อง เพื่อป้องกันปัญหาตามมาในภายหลัง ควรตั้งชื่อโดยหลีกเลี่ยงคำที่ทำให้เข้าใจผิด โดยไม่ใช้พระนามของพระมหากษัตริย์และพระบรมวงศานุวงศ์ในพระราชวงศ์ปัจจุบัน ไม่ใช่ชื่อประเทศ ไม่ใช้ชื่อกระทรวง ทบวง กรม ไม่ใช่ชื่อส่วนของราชการ ส่วนวิธีการตรวจและจองชื่อบริษัทมี 2 ขั้นตอนด้วยกัน ได้แก่
4. จดทะเบียนหนังสือบริคณห์สนธิและยื่นต่อนายทะเบียน
ขั้นตอนการจดทะเบียนหนังสือบริคณห์สนธิ คือ การยื่นหนังสือแสดงความต้องการจัดตั้งบริษัทที่ต้องใช้ยื่นต่อนายทะเบียน โดยต้องยื่นภายในระยะเวลาไม่เกิน 30 วันหลังจากที่นายทะเบียนได้ลงชื่อบนเอกสาร โดยข้อมูลที่ตั้งรายงานมีดังนี้
5. เปิดให้มีการจองซื้อหุ้นของบริษัท และนัดประชุมผู้ถือหุ้นทั้งหมด
หนึ่งในขั้นตอนการจดทะเบียนบริษัทที่สำคัญ คือ ขั้นตอนการเปิดให้จองซื้อหุ้นของบริษัท โดยคนที่มีสิทธิ์ซื้อหุ้นไม่จำเป็นที่ต้องเป็นผู้ก่อตั้งธุรกิจเท่านั้น ใครก็สามารถเข้าซื้อหุ้นบริษัทได้ โดยจะต้องซื้อขั้นต่ำจำนวน 1 หุ้นขึ้นไป เมื่อมีการจองซื้อขายหุ้นจนครบแล้ว ลำดับต่อไปคือการออกหนังสือเพื่อนัดประชุมผู้ถือหุ้นทั้งหมดของบริษัทอีกครั้ง
6. จัดประชุมบุคลากรที่ได้รับคัดเลือกในบริษัท เพื่อให้เข้าใจข้อมูลตรงกัน
หลังจากขั้นตอนการจดทะเบียนบริษัทแล้ว ขั้นตอนต่อมาคือการจัดประชุมบุคลากรที่ได้รับการคัดเลือกในบริษัทเพื่อให้เข้าใจข้อมูลเรื่องสำคัญตรงกัน ไม่ว่าจะเป็น กฎระเบียบข้อบังคับของบริษัท การเลือกตั้งคณะกรรมการ คัดเลือกผู้สอบบัญชีเพื่อตรวจสอบรับรองงบการเงิน แจ้งเรื่องค่าตอบแทนของผู้ก่อตั้งบริษัท รวมถึงเรื่องของจำนวนหุ้นบริษัทสุทธิ
7. จัดตั้งคณะกรรมการบริษัท
สำหรับขั้นตอนต่อมาคือการประชุมจัดตั้งกรรมการบริษัท ขั้นตอนนี้จัดทำขึ้นเพื่อให้มีบุคคลดำเนินการจัดเก็บค่าหุ้นบริษัทจำนวน 25% ของราคาหุ้นจริงให้ครบแทนผู้ก่อตั้งบริษัท เพื่อที่จะยื่นขอจดทะเบียนบริษัทนั่นเอง โดยการยื่นจดทะเบียนบริษัทจะต้องดำเนินการภายใน 3 เดือนหลังจากที่มีการประชุมจัดตั้งเท่านั้น หากล่าช้าจะต้องจัดการประชุมขึ้นใหม่
8. ชำระเงินค่าธรรมเนียมสำหรับการจดทะเบียนบริษัท
มาถึงขั้นตอนการจดทะเบียนบริษัทที่สำคัญมาก ซึ่งใกล้เสร็จสิ้นกระบวนทั้งหมดแล้วนั่นก็คือ “การชำระค่าธรรมเนียมจดทะเบียนบริษัท” นั่นเอง ซึ่งค่าธรรมเนียมที่ต้องชำระทั้งหมดในการจดทะเบียนบริษัทจำกัด มีดังนี้
9. รับใบสำคัญและหนังสือรับรองการจดทะเบียนบริษัท
มาถึงขั้นตอนการจดทะเบียนบริษัทขั้นตอนสุดท้าย คือขั้นตอนการรับใบสำคัญและหนังสือรับรองการจดทะเบียนบริษัท ซึ่งเป็นเอกสารสำคัญทางกฎหมายในการดำเนินธุรกิจของคุณ เมื่อถึงขั้นตอนนี้แสดงว่าบริษัทของคุณได้ถูกก่อตั้งอย่างเป็นทางการ จดทะเบียนบริษัทเสร็จสิ้นแล้ว สามารถขอรับได้ที่นายทะเบียน ที่กรมพัฒนาธุรกิจการค้าในพื้นที่ที่อาศัยอยู่หรือสำนักงานพาณิชย์ประจำจังหวัด